Louvre Museum หรือ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ที่นับได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในปารีส เป็นที่ซึ่งมีทั้งผลงานทางด้านการจัดแสดงรวมไปถึงความเก่าแก่และความอลังการของที่นี้ระดับโลกเลยทีเดียว ที่แห่งนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยพระเจ้าฟิลิปที่ 2 ภายหลังได้มีการขยายออกมาเป็นพระราชวังหลวงด้วยระยะเวลาที่เปลี่ยนไปทำให้ที่แห่งนี้ได้เป็นที่ซึ่งเก็บรักษาผลงานศิลปะอันทรงคุณค่ามากมายกว่าสี่แสนชิ้นแต่ทั้งนี้ได้มีการนำเอามาจัดไว้ให้ชมเพียงแค่สี่หมื่นชิ้นเท่านั้น
มีความเชื่อว่าศิลปะอันมีคุณค่าเหล่านี้ได้ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาว่าทั้งหมดเป็นสมบัติจากการที่ประเทศฝรั่งเศสได้มาจากประเทศที่ตนเองชนะสงครามมานั่นเองซึ่งได้นำมาจากเหล่าของบรรณาการไปจนถึงการอุปถัมภ์ศิลปินเพื่อเป็นการรังสรรค์ผลงานจากเหล่ากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายรวมไปถึงพระชั้นผู้ใหญ่นับตั้งแต่ในช่วงอดีตกาล
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้มีการขยายให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นจนสามารถที่จะเปิดให้เหล่าบรรดาประชาชนเข้าไปเยือนความงดงามทางด้านศิลปะโดยมีการเปิดให้เข้าไปเยี่ยมชมเป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 1793 ในช่วงของจักรพรรดินโปเลียน
ณ ตอนนี้ที่แห่งนี้ได้ทำการจัดการแสดงงานศิลปะที่เรียกได้ว่าสำคัญระดับโลกไว้จนทำให้ที่นี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ใคร ๆ ก็อยากจะเข้ามาสัมผัสกับความสวยงามด้วยตาตัวเองทั้งด้วยการออกแบบตัวพิพิธภัณฑ์ที่ดูแปลกตารวมไปถึงสถาปัตยกรรมที่งดงามที่หาดูจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วอย่างเช่น
ประติมากรรม Nike Winged Victory of Samothrace
เรียกกันว่าเป็นเทพีแห่งชัยชนะรูปสลักนางฟ้ามีปีกบนเรือหินที่งดงามยิ่งนักซึ่งผู้สร้างนั้นถือได้ว่ามีความสามารถในการแสดงที่จะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสรีระรวมไปถึงความพริ้วไหวของอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายของนางฟ้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ รูปสลักนางฟ้าชิ้นนี้มีอายุประมาณ 190 ปีก่อนครสิตศักราชที่ถือได้ว่าเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะของกรีซในช่วงแห่งการรบที่ซาโมเทรซที่ถูกเล่าสืบต่อกันมากว่าเป็นประติมากรรมในอดีต เคยแตกหักและได้ถูกนำมาประกอบชิ้นขึ้นมาใหม่โดยนักโบราณคดีชื่อดัง
Mona Lisa
เรียกได้ว่าเป็นผลงานอันเลื่องลือของ Leonardo da Vinci ซึ่งจะเป็นภาพวาดหญิงสาวที่งดงามที่หากว่าใครได้เห็นก็ต้องชื่นชอบด้วยมีจุดโดดเด่นอยู่ตรงที่รอยยิ้มและดวงตาอันทรงเสน่ห์ที่มองไปแล้วราวกับภาพวาดนี้มีชีวิต
ประติมากรรม Venus de Milo
เป็นรูปสลักเทพีกรีกเทพีวีนัส ผู้ซึ่งได้รับเสียงร่ำลือว่างดงามที่สุดในบรรดาเหล่าเทพี ประติมากรรมชิ้นนี้มีอายุราว ๆ 2100 ปีโดยมีการถูกค้นพบ ณ เกาะมิโล ซึ่งในตอนแรกที่พบนั้นมีการหักออกเป็นสองท่อนโดยที่ไม่พบแขนทั้งสองข้างแต่ทั้งนี้ก็ได้ถูกยกให้เป็นงานที่นับว่าสวยที่สุดในโลกเลยทีเดียว
ประติมากรรม The Dying Slave
เป็นในรูปแบบของสลักหินอ่อนที่ผลงานสร้างสรรค์ของ Michelangelo Buonarroti ผู้ซึ่งเป็นจิตรกร ประติมากรและสถาปนิกที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลี ศิลปินเอกใยยุคของเรเนอซองส์ ที่เป็นประติมากรรมสลักหินที่ยังไม่เสร็จเป็นหินอ่อนที่มีความสูง 2.28 เมตรข้อมือซ้ายมัดด้ายกับทางด้านหลังคอ ส่วนของรอบอกจะมีผ้าคาดเอาไว้ซึ่งจะเป็นการแสดงกายวิภาคของมนุษย์นั่นเอง จากผลงานชิ้นนี้ที่นักประวัติศาสตร์คือ ริชาร์ ฟราย ได้ให้ความหมายผลงานนี้เอาไว้ว่า… เป็นนัยยะว่าเป็นความชั่วขณะเมื่อชีวิตยอมจำนนต่อพลังอำนาจของความตายที่เข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง….
ถือได้ว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ควรค่าแก่การไปเยือนซักครั้งในชีวิตอย่างยิ่งและนี้ก็เป็นเพียงแค่ผลงานบางชิ้นในที่แห่งนี้เท่านั้นที่ผลงานในแต่ละชิ้นสามารถบ่งบอกได้ว่าผู้สร้างรังสรรค์ผลงานออกมาด้วยใจและมีความงดงามอย่างยิ่งจนประเมิณออกมาเป็นราคาไม่ได้เลยที่บอกเลยว่าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรค่าแก่การไปเยือนซักครั้งในชีวิตอย่างแท้จริง
สำหรับค่าธรรมเนียมเข้าชมโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ราคา 15-17 ยูโร วันจันทร์ พฤหัสบดี อาทิตย์เปิด 9.00-17.45 วันพุธ ศุกร์ 9.45-21.45 อายุต่ำกว่า 18 ปีสามารถเข้าชมได้ฟรี